วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

สิ่งที่ชื่นชอบ

 สถาปัตยกรรมอินเดีย


         สถาปัตยกรรมอินเดีย หมายถึงสถาปัตยกรรมที่พบในประเทศอินเดียปัจจุบัน หยั่งรากมาจากประวัติศาสตร์ของชาติอินเดียวัฒนธรรมอินเดีย และ ศาสนาที่เกิดขึ้นในอินเดีย ซึ่งมีการวิวัฒนาการและพัฒนา แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและพื้นที่ ได้รับอิทธิพลจากภายนอกในแต่ละยุค ทั้ง กรีก, โรมัน, เปอร์เซีย และ อิสลาม ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมยุคก่อน ๆ และงานศิลปะที่อุทิศเพื่อกษัตริย์และศาสนาอย่างลงตัว

- ยุคอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (3300 ปีก่อน ค.ศ. – 1700 ปีก่อน ค.ศ.)

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุครอบคุลมพื้นที่ขนาดใหญ่ล้อมรอบแม่น้ำสินธุและบริเวณโดยรอบ ในยุคที่อารยธรรมเจริญรุ่งเรืองมาก (2600–1900 BCE) ได้กำเนิดเมืองจำนวนหนึ่งที่มีความเป็นแบบแผนเดียวกัน ได้แก่ ฮารัปปาโลธัล และ โมเหนโจ-ดาโร หนึ่งในแหล่งมรดกโลก การวางผังเมืองและการวิศวกรรมของเมืองเหล่านี้น่าสนใจมาก ในขณะที่การออกแบบอาคารต่าง ๆ นั้นยังเป็นแบบ "ยึดประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ" (utilitarian) กล่าวคือไม่ค่อยมีการประดิดประดอยหรือตกแต่งให้สวยงามวิจิตร จากหลักฐานพบยุ้งฉาง, ระบบชลประทานและท่อน้ำ, ที่เก็บน้ำ แต่ยังไม่สามารถระบุว่าพบสิ่งก่อสร้างที่เป็นปราสาทหรือศาสนสถานได้ บางเมืองพบการสร้างป้อมปราการ "citadel"[3] นอกจากนี้ยังพบบ่อน้ำอันนำมาสู่การสร้างบ่อน้ำขั้นบันได (stepwell)[4] ในแค่ส่วนหนึ่งของเมืองอาจพบได้มากถึง 700 บ่อ นักวิชาการบางคนจึงเชื่อว่าอารยธรรมฯ นี้เป็นผู้คิดค้นการขุดบ่อน้ำอิฐทรงกระบอก (cylindrical brick lined wells)[4]

การตกแต่งเชิงสถาปัตยกรรมนั้นพบได้น้อยมาก ถึงแม้จะพบ "รูเล็ก ๆ " ในผนังบางตึกก็ตาม งานศิลปะส่วนมากที่พบทำมาจากดินเผา (terracotta) และมีขนาดเล็กจิ๋ว เช่น พวกตราหรือโล่ต่าง ๆ ส่วนรูปปั้นขนาดใหญ่โตนั้นแทบไม่พบเลย ส่วนมากแล้วการก่อสร้างด้วยอิฐนั้นทำมาจากอิฐแบบเผาไฟ ซึ่งต่างกับอีกอารยธรรมใกล้เคียงกันคือเมโสโปเตเมีย ที่ใช้อิฐชนิดผึ่งแดด น้อยมากที่จะสร้างด้วยหิน เช่นใน ธลวีระ (Dholavira) บ้านเรือนส่วนใหญ่มีสองชั้น มีขนาดและแปลนที่เหมือน ๆ กันเมืองใหญ่ ๆ นั้นลดลงอย่างรวดเร็วตามลำดับโดยไม่รู้สาเหตุ เหลือไว้แต่เพียงซากหมู่บ้านและวัฒนธรรมที่ซับซ้อนน้อยกว่าให้ชม



ทัชมาฮาล หรือ ตาชมหัล (Taj Mahal; /ˌtɑː məˈhɑːl, ˌtɑːʒ-/แปลว่า มงกุฏของวัง[taːdʒ ˈmɛːɦ(ə)l]) เป็นอาคารฝังศพสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวงาช้าง ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำทางใต้ของแม่น้ำยมุนา ในเมืองอัคระ รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ทัชมาฮาลเริ่มสร้างขึ้นในปี 1632 โดยจักรพรรดิโมกุล จักรพรรดิชาห์ชะฮัน (ครองราชย์ 1628 ถึง 1658) เพื่อตั้งศพของพระสนมเอก มุมตาช มหัล และเป็นที่ตั้งพระศพของจักรพรรดิชาห์ชะฮันเอง ทัชมาฮาลประกอบด้วยตัวอาคารสุสาน, มัสยิด และเกสต์เฮาส์ รายล้อมด้วยสวน การก่อสร้างทัชมาฮาลสำเร็จสมบูรณ์ในปี 1643 แต่มีการก่อสร้างในเฟสอื่น ๆ ของโครงการที่ดำเนินต่อไปอีกกว่า 10 ปี

ทัชมาฮาลได้รับสถานะเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกในปี 1983 ในฐานะ "เพชรน้ำเอกของศิลปะมุสลิมในอินเดีย และเป็นหนึ่งในงานชิ้นเอกที่ได้รับการชื่นชมในระดับสากล" และได้รับการยกย่องโดยหลายบุคคลให้เป็นผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมโมกุล และสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์อินเดียอันร่ำรวย ทัชมาฮาลมีผู้เดินทาวมาเยี่ยมเยียนราว 7–8 ล้านคนต่อปีในปี 2007


     อทาลัชวาว (คุชราตઅડાલજની વાવ; Adalaj Stepwell) เป็นบ่อน้ำขั้นบันไดในหมู่บ้านอทาลัช อำเภอคานธีนคร
 รัฐคุชราต ใกล้กับนครอะห์เมดาบาด บ่อน้ำขั้นบันได (วาว) มีความลึกห้าชั้น สร้างขึ้นในปี 1498 ดังที่ปรากฏในจารึกหินอ่อนภาษาสันสกฤต ซึ่งค้นพบบนชั้นแรกของวาว บ่อน้ำขั้นบันไดนี้สร้างขึ้นโดยราณาวีรสิงห์ (Rana Veer Singh) แห่งจักรวรรดิวเฆละ (Vaghela dynasty) แห่งทันไทเทศ (Dandai Desh) แต่หลังราณาสิ้นพระชนม์ในสงคราม กษัตริย์มุสลิมจากเมืองข้างเคียง มะห์มุดเบกาดา จึงสร้างวาวขึ้นใหม่/สร้างต่อด้วยสถาปัตยกรรมอินโด-อิสลามในปี 1499



รังกนาตจุวามิโกยิล (ทมิฬஅரங்கநாத சுவாமி கோயில்) เป็นโกยิลที่สร้างถวายพระศรีรังคนาถ คือปางไสยาสน์ของพระวิษณุ โกยิลนี้สร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมทราวิฑ ตั้งอยู่ในเมืองติรุวรังกัม เขตติรุจจิราปปัฬฬิ รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย และโกยิลได้รับการเชิดชูโดยนักบวชอาฬวาร (Alvar) ใน ทิพยประพันธ์ (Divya Prabhandha) และถือเป็นโกยิลสำคัญใน 108 โบสถ์พราหมณ์ "ทิพยเทศ" ที่สร้างถวายพระวิษณุ

โกยิลนี้ถือเป็นโกยิลไวษณพที่มีสีสันฉูดฉาดและงดงามที่สุดในอินเดียใต้ โกยิลนี้ยังมีส่วนสำคัญยิ่งในประวัติของลัทธิไวษณพ เริ่มจากงานของรามานุชะ และนาถมุนีและยมุนาจารย์ซึ่งมาก่อนหน้าในติรุวรังกัม สถานที่ตั้งซึ่งอยู่บนเกาะระหว่างแม่น้ำกลลิทัม และแม่น้ำกาเวรี นั้นทำให้ประสบกับอุทกภัยได้ง่าย รวมทั้งทำให้ง่ายต่อการรุกรานและเปลี่ยนเป็นค่ายทหาร โกยิลเคยถูกทำลายและปล้นชิงของมีค่าไปโดยกองทัพของรัฐสุลต่านเดลีซึ่งบุกเข้าโจมตีและทำลายล้างอาณาจักรปันทยะ (Pandya) เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 และโกยิลก็ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกในปลายคริสต์ศตวรรษเดียวกัน โกยิลได้รับการสร้างให้แข็งแรงขึ้น ป้องกันมากขึ้น และสร้างโคปุรัมจำนวนมาก ขยายอาณาเขตของโกยิลมากในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 โกยิลนี้เคยเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางสำคัญของขบวนการภักติ ร่วมไปกับการร่ายรำและขับร้อง

อาณาเขตของติรุวรังกัมโกยิลคือ 155 เอเคอร์ มีศาลเจ้า 81 ศาล, หอและโคปุรัม 21 หอ, ศาลาและมณฑป 39 หลัง และแท็งก์น้ำจำนวนอีกมากมายที่ประกอบเข้ากับระบบไขน้ำและอนุชลประทานที่ซับซ้อนของโกยิล โกยิลนี้ในปัจจุบันถือว่าเป็นโบสถ์พราหมณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังคงมีการใช้ประกอบศาสนพิธีเป็นนิจอยู่และถือเป็นแหล่งสำคัญของสถาปัตยกรรมทราวิฑดั้งเดิมที่ซับซ้อนและงดงามอย่างมีเสน่ห์


         โลทัสเทมเพิล (อังกฤษLotus Temple) หรือ กมลมนเทียร (ฮินดีकमल मंदिर) เป็นสักการสถานบาไฮ
 (ศาสนสถานของศาสนาบาไฮ) ที่ตั้งอยู่ในนิวเดลี ประเทศอินเดีย เปิดบริการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1986 ศาสนสถานนี้เป็นที่รู้จักจากรูปทรงดอกบัว และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเดลี ถึงแม้จะเป็นศาสนสถานของบาไฮ แต่ก็เปิดรับศาสนิกชนจากทุกศาสนาให้เข้าชมอย่างไม่ขาดสาย โครงสร้างที่เป็นคล้ายกับทรง "กลีบดอก" นั้นคือคอนกรีตหุ้มหินอ่อน จำนวน 27 กลีบ วางเป็นกลุ่มละ 3 กลีบ ทำให้เกิดรูปทรงที่มี 9 ด้าน พร้อมประตูทางเข้า 9 บานที่เปิดเข้าไปสู่โถงภายในที่สูงกว่า 34.27 เมตร พร้อมความจุ 2500 ที่นั่ง โลทัสเทมเพิลได้รับรางวัลด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมมากมาย รายงานจากสำนักข่าว CNN ในปี 2001 ระบุว่าสถานที่นี้เป็นอาคารที่มีผู้คนมาเยี่ยมชม "มากที่สุดในโลก


         โมเฮนโจ-ดาโร (อังกฤษMohenjo-daro/mˌhɛn ˈdɑːr/สินธ์موئن جو دڙوmuˑənⁱ dʑoˑ d̪əɽoˑ 
หมายถึง 'เนินของคนตาย'; อูรดูموئن جو دڑو ) เป็นโบราณสถานในแคว้นสินธ์ประเทศปากีสถาน ถูกสร้างประมาณ 2500 ปีก่อนคริสตกาล เป็นหนึ่งในที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุโบราณ และหนึ่งในเมืองยุคแรกสุดของโลก คู่กับอารยธรรมอียิปต์โบราณเมโสโปเตเมียไมนอส และการัล เมื่ออารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุสิ้นสุดลง โมเฮนโจ-ดาโร ก็ถูกทิ้งไปในศตวรรษที่ 19 ก่อนคริสตกาล และไม่มีใครพบอีกเลยจนกระทั่งคริสตทศวรรษที่ 1920 และกลายเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกใน ค.ศ. 1980 ปัจจุบัน บริเวณมีความเสี่ยงจากการสึกกร่อนและการบูรณะที่ไม่ถูกต้อง


วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

วาเลนไทน์

 

ประวัติวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ Valentine's Day

- กุมภาพันธ์ เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขของการแสดงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข เป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์"วันแห่งความรัก" หรือ Valentine's Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของคิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบันคิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็นเครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ภาพจำของคิวปิดคือการยิงศรรักระหว่างหัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด และวันนี้เราจึงอยากจะมาเล่าสู่กันฟังถึงประวัติความเป็นมาและความสำคัญของวันแห่งความรักกัน

ประวัติวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day)

        เทศกาลวาเลนไทน์ (Valentine's Dayเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโน ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศและการแต่งงาน และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้าย และทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพ เนื่องจากไม่อยากจากคู่รักและครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโองการสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้นมีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ร่วมมือกับเซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับ และระหว่างนั้นเขาก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เชื่อกันว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า "From Your Valentine" หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัสผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพอันสวยงาม ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่าในช่วงยุคกลาง วาเลนไทน์นับเป็นนักบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมานักบวชในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลวันแห่งความรัก และดูเหมือนว่ายังคงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

วันวาเลนไทน์ หรือ Valentine's Day ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้วจะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึงความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้านการพิมพ์ จึงมีการพิมพ์บัตรอวยพรแทนที่จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่งบัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ช่วยให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใยถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

ประวัติวันวาเลนไทน์นี้เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ เรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนม และการ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน

ดอกไม้ ให้ความหมายของการบอกรักได้ดีที่สุด ที่ฮิตสุดเห็นจะเป็น

  • กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ 
  • กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง 
  • กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด
  • กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข
  • กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย 
  • กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น

สําหรับคนที่อยากได้อะไรแตกต่างยังมีดอกอื่นๆ อาทิ 

  • ดอกคาร์เนชั่นสีแดง หมายถึง รักอย่างสุดซึ้ง
  • ดอกลิลลี่สีขาว หมายถึง ความโรแมนติก อ่อนหวานระหว่างคุณและคนรัก
  • ดอกทิวลิปสีแแดง หมายถึง ความรักที่จะร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน 
  • ดอกไวโอเล็ต ที่แทนความหมายของการให้รักตอบแทน
     

ช็อกโกแลต นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า ช็อกโกแลตเป็นตัวช่วยเสริมอารมณ์รัก และรสชาติความหวานก็เป็นสิ่งที่แทนความรู้สึกวันแห่งความรักได้อย่างดี และยังมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าในช็อกโกแลตมีสารช่วยกระตุ้นสมองโดยออกฤทธิ์คล้าย แอมเฟตามีน เป็นตัวเบิกทางความรู้สึกลึกๆแห่งรักได้ดี

การ์ด อันนี้เป็นของจําเป็นควบคู่ไปกับดอกไม้ และช็อกโกแลต เลือกตามแบบที่ชอบ เขียนความในใจตามแบบที่อยากให้คนที่ได้รับ อ่านแล้วเข้าใจในทันที แถมหาซื้อไม่ยากด้วย

ตุ๊กตา เป็นสิ่งที่ให้กันได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่พิเศษสําหรับวันแห่งความรักคงต้องเลือกสรรให้น่ารัก น่าประทับใจแทนความหมายได้ ทุกอารมณ์แล้วแต่คุณจะหยิบแบบไหน

เทียนหอม มาแรงในหมู่หนุ่มสาวชาวไทย ที่สื่อได้ทั้งความหมายจากรูปทรงหัวใจ และให้กลิ่นหอมชวนหลงใหลตามแต่ใครจะเลือกได้ถูกใจอีกฝ่ายแค่ไหน

มื้อค่ำ ขาดไม่ได้เลยสำหรับมื้อพิเศษในวันแห่งความรัก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แบบไหน ในบ้าน ร้านอาหาร หรือริมทะเล แต่ขอให้มีแต่คุณและคนรักไปกันสองคนก็แล้วกัน

    





วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ถวายพระพร


     ขอชวนเชิญร่วมลงนามถวายพระพร 

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี 
กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา 
ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน 



            -ร่วมลงนามถวายพระพรผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์

              ลิงก์ : https://wellwishes.royaloffice.th/

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2565

การศึกษาค้นคว้า

 

การศึกษาค้นคว้า

เรื่อง เว็บไซต์ CMS

1. ความหมายของเว็บไซต์ CMS

ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ (Content Management System : CMS) คือ ระบบที่พัฒนา คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยลดทรัพยากรในการพัฒนา (Development) และบริหาร (Management) เว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา และเงินทอง ที่ใช้ในการสร้างและควบคุมดูแลไซต์

 2. ที่มาของ CMS

CMS ย่อมาจาก Content Management System พัฒนาและคิดค้นขึ้นเพื่อลดทรัพยากรในการสร้างและบริหารเว็บไซต์ เป็นระบบที่ช่วยสร้างและบริหารเว็บไซต์สำเร็จรูป ทำให้สามารถลดกำลังคน เวลา และต้นทุนไปได้มาก ซึ่งการใช้งาน CMS นั้น ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรม ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ของตนเองได้ เพียงแต่ศึกษาการใช้งานระบบนั้นๆ ก่อน ทั้งยังมีโปรแกรมหรือปลั๊กอินต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มฟังก์ชั่นของเว็บไซต์ได้ เช่น ถ้าเป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ ก็สามารถเพิ่มตะกร้าสินค้าลงไปได้ โดยเราไม่จำเป็นต้องพัฒนาเว็บไซต์ด้วยตนเอง

3. ความสำคัญของ CMS

สร้างเว็บไซต์ได้ง่าย ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมก็ทำได้ ประหยัดเงินลงทุน เพราะถ้าจ้างบริษัทพัฒนาเว็บไซต์โดยใช้ CMS จะมีค่าจ้างที่ถูกกว่าการใช้ CMS สำเร็จรูปโดยตรง ประหยัดเวลา ถ้าทำด้วยตนเองก็ไม่ต้องเสียเวลาศึกษาด้านโปรแกรมมาก สวยงาม มีหน้าตาเว็บไซต์หรือ Theme หลายแบบให้เลือก มีปลั๊กอินให้เลือกใช้ตามความต้องการ เช่น ตะกร้าสินค้า ปุ่มแชร์ไปยังเฟซบุ๊ก คอมเมนต์ด้วยไอดีเฟซบุ๊ก เป็นต้น ดูแลง่าย เพราะระบบมีรูปแบบที่จัดการง่าย มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

4. การประยุกต์ใช้ CMS ในงานต่างๆ

ระบบ CMS สามารถนำมาประยุกต์ในงานต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างการนำซอฟต์แวร์ CMS มาประยุกต์ใช้งาน เช่น

• การนำ CMS มาใช้ในการสร้างเว็บไซต์สถาบันการศึกษา ธุรกิจบันเทิง หนังสือพิมพ์ การเงิน การธนาคาร หุ้นและการลงทุน อสังหาริมทรัพย์ งานบุคคล งานประมูล 

• การนำ CMS มาใช้ในหน่วยงานของรัฐ อาทิเช่น งานข่าว งานประชาสัมพันธ์ การนำเสนองานต่างๆขององค์กร

• การนำ CMS มาใช้ในการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ SME โดยเฉพาะสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP กำลังได้รับความนิยมสูง

• การใช้ CMS ทำเป็น Intranet Web Site สร้างเว็บไซต์ใช้ภายในองค์กร

5. ตัวอย่างเว็บไซต์ CMS

Typo3


- Joomla

WordPress

- Drupal
- Serendipity




สิ่งที่ชื่นชอบ

  สถาปัตยกรรมอินเดีย           สถาปัตยกรรม อินเดีย  หมายถึง สถาปัตยกรรม ที่พบในประเทศอินเดียปัจจุบัน หยั่งรากมาจาก ประวัติศาสตร์ของชาติอินเด...